ตำบลปูยุด อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
ประวัติความเป็นมา
หากจะกล่าวถึงประวัติศาสตร์ปูยุด
จะต้องลำดับเหตุการณ์ของการตั้งเมืองปัตตานีเป็นสำคัญ ด้วยเหตุว่าครั้งหนึ่งเมือง
ปูยุดได้ดำรงสถานะเป็นเมือง ของราชอาณาจักรมลายูปัตตานี
แม้จะเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ ภายใต้สงครามกลางเมือง ระหว่างราชวงศ์ก็ตาม
ในสมัยของสุลต่านอิสมาเอลชาฮ์
ได้มีการย้ายพระนครโกตามหลิฆัย (เมืองปราสาทหรือพระ เจดีย์) หรือ ลังกาสุกะ
มาสร้างพระนครใหม่ขึ้นที่สันทราย บริเวณตำบลตันหยงลุโละ ตำบลบานา หมู่บ้านกรือเซะ
ในท้องที่ อำเภอเมืองปัตตานีในปัจจุบัน โดยพระองค์พระราชทานนามเมืองนี้ว่า
"ปัตตานี ดารัสลาม" (นครแห่งสันติ) เหตุที่ ทรงย้ายพระนครในครั้งนั้น เนื่องมาจากสาเหตุที่พญาอินทิรา
(สุลต่านอิสมาเอลชาฮ์) เปลี่ยนจากศาสนาพุทธมารับนับถือศาสนาอิสลาม
และได้มีการทำลายพระพุทธรูป เทวรูป และโบราณสถาน ในเมืองโกตามหลิฆัย
หรือลังกาสุกะไปจนหมดสิ้น
ข้อความ
ในหนังสือ Purchase,-his Pilgrimage ของชาวอังกฤษ
บรรยายถึงสภาพสังคม และบ้านเมืองปัตตานีในสมัยนั้นว่า
"ปัตตานี
เป็นนครหนึ่งอยู่ทางใต้ของสยาม อาคารบ้านเรือนเป็นไม้และแฝก
แต่เป็นงานสร้างด้วยฝีมืออย่าง มีศิลปะ มีสุเหร่าหลายแห่งก่อด้วยอิฐ
มีชาวจีนมากกว่าชาวพื้นเมือง (หมายถึง บริเวณเมืองท่า ที่เป็นศูนย์การค้า)
พลเมืองมีภาษาใช้กัน 3 ภาษา คือ ภาษามลายัน ภาษาไทย และภาษาจีน ชาวจีนสร้างศาลเจ้า
ชาวไทยสร้างพระพุทธรูป พระสงฆ์นุ่งเหลืองห่มเหลือง
ชาวปัตตานีนับถือศาสนาพระมหะหมัด (ศาสนาอิสลาม) ชาวจีนและชาวสยาม นับถือศาสนา Ethniks"
(เข้าใจว่าตรงกับลัทธิเคารพบูชาบรรพบุรุษของขงจื้อ
ดูหนังสือภูมิหลังของไทยและแหลมทองของ ไพโรจน์ โพธิ์ไทร)
สุลต่านอิสมาเอลชาฮ์ (พญา อินทิรา) ครองเมืองปัตตานีอยู่เป็นเวลา 45 ปี
พญาโกรุปพิชัย พิทักษ์ราชบุตร ซึ่งเฉลิมพระนามใหม่ ตามประเพณีศาสนาว่า
สุลต่านมาดฟาร์ชาฮ์ ได้มีการทำนุบำรุงบ้านเมืองและการศาสนา โปรดให้สร้างสุเหร่า
(มัสยิด) ขึ้นตามชุมนุมชน เพื่อให้ราษฎรได้ใช้ปฏิบัติศาสนกิจทั่วพระนคร
และโปรดให้เชิญผู้ เชี่ยวชาญศาสนาอิสลามมาจากเมืองปาไซ ชื่อเช็คซาฟีนุดดีน
มาเป็นผู้บรรยายหลักธรรมแก่ข้าราชการในราชสำนัก
เพื่อนำความรู้ออกไปเผยแพร่แก่อิสลามกะตามชนบท แม้กระทั่งชาวเมืองโกตามหลิฆัย
(ลังกาสุกะ) ก็พากันยอมรับ นับถือศาสนาอิสลามตามไปด้วย
สุลต่านมาดฟาร์ชาฮ์
ได้เสด็จไปเฝ้ากษัตริย์อยุธยาเนืองๆ (ด้วยพระองค์ตรัสว่า กษัตริย์อยุธยา
(สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์) เป็นพระญาติของพระองค์)
และได้รับพระราชทานเชลยทาสมาเป็นกำลังเมือง เมื่อสุลต่านมาดฟาร์ชาฮ์ กลับมาถึงเมืองปัตตานีแล้ว
โปรดให้เชลยทาสไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่บ้านกฎี (ในท้องที่อำเภอยะหริ่ง
ต่อเขตอำเภอปะนาเระ บริเวณ หมู่บ้านนี้ยังมีซากเจดีย์ปรากฏอยู่เป็นหลักฐาน
และอีกแห่งคือบ้านกฎี ซึ่งอยู่ต่อเขตอำเภอเมืองปัตตานี)
ปีที่สุลต่านมาดฟาร์ชาฮ์สิ้นพระชนม์
ปรากฏในพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ตรงกับปี พ.ศ.2092 ขณะนั้น
พระราชโอรสของสุลต่านมาดฟาร์ชาฮ์ยังทรงพระเยาว์ สุลต่านมันดูร์ชาฮ์
พระราชอนุชาก็ได้รับการ สถาปนาขึ้นเป็นกษัตริย์เมืองปัตตานี
รัชสมัยสุลต่านพระองค์นี้ ปัตตานีได้ประสพกับภาวะสงคราม โดยสุลต่านเมือง
ปาเล็มบังในเกาะสุมาตรา ยกกองทัพเรือมาปล้นเมืองปัตตานี 2 ครั้ง
แต่ชาวเมืองปัตตานีก็สามารถปกป้องเมืองไว้ได้ ครั้นถึงปีพุทธศักราช 2101
สุลต่านมันดูร์ชาฮ์ก็สิ้นพระชนม์ รวมเวลาที่ปกครองเมืองปัตตานี อยู่เพียง 9 ปี
ก่อนที่พระองค์จะสิ้นพระชนม์ ได้ทรงมอบหมายให้มุขมนตรี เสนาบดี
ให้แต่งตั้งสุลต่านปาเตะเซียม ราชโอรสของ สุลต่านมาดฟาร์ชาฮ์ ขึ้นครองเมืองปัตตานี
แต่เนื่องจากสุลต่านปาเตะเซียมมีพระชนมายุเพียง 9 พรรษา รานีไอเซาะ พระมาตุจฉาเจ้า
ซึ่งเป็นพระมเหสีหม้ายของสุลต่านเมืองสายที่สิ้นพระชนม์ไปแล้ว
ได้รับหน้าที่เป็นผู้สำเร็จ ราชการแทนองค์ยุวกษัตริย์
เจ้าหญิงไอเสาะได้ดำรงตำแหน่งผู้สำเร็จราชการอยู่ได้เพียง
1 ปี เกิดขัดแย้งกับบรรดาข้าราชการและพระบรมวงศานุวงศ์ ซึ่งมีรายามาบัง
และรายาบิมาเป็นหัวหน้า สมคบกับทหารรักษาพระราชวังทำการขบถ ลักลอบ
เข้าไปปลงพระชนม์สุลต่านปาเตะเซียมและเจ้าหญิงไอเสาะในอิสตานา
สุลต่านบาฮ์โดร์ชาฮ์
ราชโอรสของสุลต่านมันดูชาฮ์ ได้รวบรวมทหารที่จงรักภักดี ทำการปราบปรามพวก
ขบถจนราบคาบ ได้ขึ้นครองเมืองปัตตานีสืบมาในปี พ.ศ.2101 ถึงปี พ.ศ.2135
รวมเป็นเวลา 35 ปี ก็สิ้นพระชนม์ เนื่องจากพระองค์ไม่มีพระโอรส มีแต่พระธิดา 3
องค์ คือ เจ้าหญิงฮียา เจ้าหญิงบีรู เจ้าหญิงอูงู บรรดาพระบรมวงศานุวงศ์
และมุขมนตรี จึงได้ประชุมปรึกษา มีมติแต่งตั้งให้เจ้าหญิงฮียาขึ้นครองเมืองปัตตานี
นับเป็นปฐม กษัตริย์ในราชวงศ์โกตามหลิฆัย ที่มีพระราชินีเป็นผู้ปกครองพระนคร
เจ้าหญิงฮียาสิ้นพระชนม์ลงในปี
พ.ศ.2159
เจ้าหญิงบีรูพระขนิษฐาองค์รองได้รับการสถาปณาขึ้นดำรงตำแหน่งราชินีแห่งเมืองปัตตานี
ต่อมาทางเมืองปาหัง สุลต่านผู้เป็นสวามีของเจ้าหญิงอูงู พระขนิษฐาของพระนางบีรู
ได้สิ้นพระชนม์ลง พระนางจึงให้ขุนนางนำขบวนออกไปเชิญเจ้าหญิงอูงู และเจ้าหญิงกูนิง
พระเจ้าหลานเธอ เสด็จกลับมาประทับอยู่เมืองปัตตานี
ครั้นเจ้าหญิงบีรูสิ้นพระชนม์ลงใน
พ.ศ. 2183 บรรดามุขมนตรีแห่งเมืองปัตตานีก็ได้ประชุมปรึกษา ลงมติ ยกเจ้าหญิงอูงู
พระราชขนิษฐาองค์เล็ก ซึ่งเป็นมเหสีหม้ายของสุลต่านปาหังขึ้นปกครองเมืองปัตตานี ต่อมา
สุลต่านเมืองยะโฮร์ ได้ส่งทูตมาสู่ขอเจ้าหญิงกูนิง ราชธิดาของพระนางอูงู
ให้แก่ราชโอรส (ยังดี เปอรตู วันมูดอ) พิธีอภิเษกสมรสได้จัดขึ้น ณ เมืองปัตตานี
ในท่ามกลางแขกเมืองใกล้เคียง และพ่อค้าวาณิชย์
ชาวต่างประเทศที่เข้ามาทำการค้าอยู่ในเมืองปัตตานีเป็นจำนวนมาก
หลังจากการอภิเษกสมรสแล้ว ยังดี เปอร์ตู วันมุดอ (ยะโฮร์)
ก็คงอยู่ช่วยเหลือราชการ อยู่ ณ เมืองปัตตานี
ไปจนกระทั่งเจ้าหญิงอูงูสิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ.2200
เจ้าหญิงกูนิงก็ได้รับการแต่งตั้ง ให้ขึ้นดำรงตำแหน่งราชินีเมืองปัตตานี
เป็นองค์สุดท้ายแห่งกษัตริย์ราชวงศ์โกตามหลิฆัย ต่อมาในปี พ.ศ.2230
เจ้าหญิงกูนิงก็ได้สิ้นพระชนม์ ลง เนื่องจากไม่มีผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์
โกตามหลิฆัย มุขมนตรีเมืองปัตตานี ต่างก็มีมติยกอาลงบาตง
บุตรบุญธรรมของเจ้าหญิงเป็นเจ้าเมืองปัตตานีคนต่อมา
สยาเราะห์
เมืองปัตตานี กล่าวว่า หลังจากอาลงบาตงถึงแก่กรรมแล้ว พระเจ้ากรุงสยาม
ได้แต่งตั้งรายาบากา ชาวบ้านตาโละ (อำเภอ ยะหริ่ง)
มาเป็นเจ้าเมืองปัตตานีอยู่ชั่วระยะหนึ่งก็ถึงแก่กรรม รายามัสจากเมืองกลันตัน
ก็ได้รับการแต่งตั้ง ให้มาเป็นเจ้าเมืองปัตตานี มีธิดาชื่อมาสจายันได้ปกครองเมืองปัตตานีสืบต่อมา
เมื่อนางมาสจายันถึงแก่กรรม
มุขมนตรีเมืองจึงแต่งตั้งให้ลองยุนุส ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากอาลงบาตง
เจ้าเมืองปัตตานีคนก่อนขึ้นเป็นเจ้าเมืองปัตตานี ลองยุนุสมีพี่น้องรวม 3 คน
แต่ต่างมารดากัน คือ ระตูปกาลัน เจ้าเมืองสายบุรี ระตูปูยุด และอาลงตารับ
ลองยุนุสได้สร้างมัสยิดขึ้นหลังหนึ่ง คือ มัสยิดร้างที่บ้านกรือเซะในปัจจุบัน
บ้างก็เรียกมัสยิดนี้ว่า มัสยิดปิตูกรือบัน ขณะที่กำลังสร้าง มัสยิดจวนจะเสร็จ
ระตูปะกาลัน เจ้าเมืองสายผู้น้อง ได้ก่อการกบฏขึ้น ลองยุนุสได้นำกองทัพไปปราบพวกกบฏและได้เสียชีวิตลง
ด้วยเหตุนี้ มัสยิดปินตูกรือบันจึงถูกทอดทิ้ง มิได้มีการสร้างต่อเติม
เนื่องจากนายช่างผู้สร้าง ก็ได้หายสาบสูญไปพร้อมกับสงครามกลางเมืองในคราวนั้น
หลังจากสุลต่านลองยุนุสถึงแก่กรรม
ประวัติเมืองปัตตานีกล่าวต่อไปว่า "บ้านเมืองไม่มีความปกติสุข เกิดการตีชิง
ปล้นสะดมกันมิขาด" ผู้ที่ได้รับตำแหน่งเจ้าเมืองคนต่อมาคือระตูจาระกัน
และระตูปุยุดเป็นคนถัดมา ในสมัยที่ระตูปุยุดเป็นเจ้าเมืองปัตตานี
ประวัติเมืองปัตตานีว่า ได้ย้ายที่ตั้งเมืองปัตตานีไปตั้งอยู่ ณ
บ้านปุยุดชั่วระยะหนึ่ง ปัจจุบันยังคงมีซากกำแพงดิน และไม่ไผ่ปลูกไว้บนเนิน
เป็นค่ายคูเมืองปรากฏอยู่
เมื่อระตูปุยุดถึงแก่กรรมลง
ชาวบ้านดูวา (อยู่ในเขตท้องที่อำเภอมายอ) ได้สถาปนาตนขึ้นเป็นสุลต่าน
มีนามว่าสุลต่านอาหะหมัดขึ้นครองเมืองปัตตานี เช่นเดียวกับเมืองนครศรีธรรมราช
ปลัดเมือง (หนู) ก็ได้ตั้งตนเป็นเจ้าผู้ครองนครฯ
ทั้งนี้เพราะกรุงศรีอยุธยาเสียแก่พม่า ไร้กษัตริย์ปกครอง หัวเมืองต่างๆ
ในปักษ์ใต้พากันตั้งตนเป็นอิสระหมด
โดยสรุปแล้ว
ตำบลปุยุด จึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะเมืองหลวงของอาณาจักรปัตตานี
มีชื่อตามพระนามของเจ้าผู้ครองเมืองคือ “ระตูปุยุด” ไว้เป็นอนุสรณ์มาตราบเท่าทุกวันนี้ และมีลูกหลานที่สืบเชื้อสายเจ้า
ซึ่งจะใช้คำนำหน้าชื่อว่า ซาเฮด หรือไซร์ ต่วน นิ เจ๊ะ แว ตามลำดับ
อาณาเขต
ตำบลปูยุดมีพื้นที่
ประมาณ 6,596 ไร่ และมีอาณาเขตติดต่อดังนี้
ทิศเหนือ
ติดต่อกับ
ตำบลบาราเฮาะ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
ทิศใต้
ติดต่อกับ
ตำบลประจัน อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
ทิศตะวันออก ติดต่อกับ
ตำบลสะดาวา อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
ทิศตะวันตก ติดต่อกับ
ฝั่งแม่น้ำปัตตานี
ลักษณะภูมิประเทศ
ตำบลปูยุด มีลักษณะเป็นที่ราบไม่มีต้นไม้ พื้นที่ทางทิศตะวันตก
ได้แก่ หมู่ที่ 1, 3, 4 เป็นที่ราบลุ่มแม่น้ำ พื้นที่ส่วนใหญ่จึงเหมาะแก่การเพาะปลูก เช่น
ทำนาข้าว ทำสวน ทำไร่ เป็นต้น
และบริเวณนี้เมื่อถึงฤดูน้ำหลากจะเกิดน้ำท่วมทุกครั้ง
เพราะปริมาณน้ำในแม่น้ำปัตตานีไม่สามารถระบายลงสู่อ่าวไทยได้จำนวนหมู่บ้าน มีจำนวน 7
หมู่บ้าน ได้แก่
หมู่ที่ 1 บ้านรามง
หมู่ที่ 2 บ้านรามง
หมู่ที่ 3 บ้านบาราเฮาะ
หมู่ที่ 4 บ้านบาราเฮาะ
หมู่ที่ 5 บ้านบาราเฮาะ
หมู่ที่ 6 บ้านสุหงากาลี
หมู่ที่ 7 บ้านปูยุด
ประชากร
ประชากรในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลปูยุด มีจำนวนทั้งสิ้น 7,042 คน แยกเป็นชาย 3,499 คน หญิง 3,543 คน รวมทั้งหมด 1,719 ครัวเรือน (สำรวจ ณ เดือน มีนาคม 2557 )
หมู่ที่
|
บ้าน
|
ประชากร
|
จำนวนครัวเรือน
|
||
ชาย
|
หญิง
|
รวม
|
|||
1
2
3
4
5
6
7
|
รามง
รามง
บาราเฮาะ
บาราเฮาะ
บาราเฮาะ
สุหงากาลี
ปูยุด
|
598
168
363
236
370
612
1,152
|
586
191
368
273
368
592
1,165
|
1,184
359
731
509
738
1,204
2,317
|
232
102
136
119
139
321
670
|
รวม
|
3,499
|
3,543
|
7,042
|
1,719
|
ที่มา ; งานทะเบียนราษฎร์ อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี
ความหนาแน่นเฉลี่ยต่อพื้นที่ 628.75 คน/ตารางกิโลเมตร
สภาพเศรษฐกิจ
อาชีพ
ตำบลปูยุด
เป็นตำบลที่เป็นพื้นที่ราบลุ่ม ประชาชนส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม เช่น ทำนาข้าว
ทำสวน ค้าขาย รับจ้างทั่วไป รับราชการ และบางส่วนไปประกอบอาชีพในจังหวัดใกล้เคียง
เช่น จังหวัดยะลา นราธิวาส และประเทศมาเลเซีย
หน่วยธุรกิจในเขต อบต.
โรงสีข้าว 2 แห่ง
สภาพทางสังคม
การศึกษา
จำนวนสถาบันการศึกษาในเขตองค์การบริหารส่วนตำบลปูยุดประกอบด้วย
โรงเรียนประถมศึกษา 3
โรง
โรงเรียนมัธยมศึกษา
2 โรง
โรงเรียนสอนศาสนา
5 โรง
ที่อ่านหนังสือพิมพ์ประจำหมู่บ้าน
7 แห่ง
การนับถือศาสนา
ประชากรตำบลปูยุดทั้งหมดนับถือศาสนาอิสลาม
มีกิจกรรมทางศาสนาทุกวันศุกร์ มีสถานที่ประกอบพิธีการทางศาสนา คือ มัสยิด 5 แห่ง และสุเหร่า 2 แห่ง
สาธารณสุข
โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพเฉลิมพระเกียรติฯ
ตำบลปูยุด 1 แห่ง
อัตราการมีและใช้ส้วมราดน้ำ ร้อยละ 100
การสังคมสงเคราะห์และสวัสดิการสังคม
สงเคราะห์คนพิการ 106 คน(จ่ายเบี้ยยังชีพคนพิการ 500 บาท/เดือน)
สงเคราะห์ผู้สูงอายุ 530 คน
สงเคราะห์ผู้ประสบสาธารณภัย
(อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย และสาธารณภัยอื่นๆ)
ให้บริการน้ำอุปโภคบริโภค
ให้บริการเก็บขนขยะสิ่งปฏิกูลมูลฝอย
โครงสร้างพื้นฐาน
การคมนาคม
องค์การบริหารส่วนตำบลปูยุด เป็นตำบลที่อยู่ติดถนนสายหลวงสายปัตตานี-ยะลา และถนนเข้าสู่หมู่บ้าน
และถนนภายในหมู่บ้านเป็นถนนลาดยาง ถนนคอนกรีต ถนนหินคลุก และบางส่วนเป็นถนนลูกรัง
ทำให้การคมนาคมเป็นไปด้วยความสะดวก
องค์การบริหารส่วนตำบลปูยุด
มีถนนที่สามารถใช้ในการคมนาคมได้ในทุกฤดูกาล แบ่งตามประเภทของ ถนน ดังนี้
ถนนลาดยาง จำนวน 2 สาย
ถนนคอนกรีต จำนวน 33 สาย
ถนนหินคลุก
จำนวน 4 สาย
ถนนลูกรัง จำนวน 6 สาย
การโทรคมนาคม
ที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข 1 แห่ง
การไฟฟ้า
มีไฟฟ้าใช้ทุกครัวเรือน
การปกครอง
ตำบลปูยุดแบ่งการปกครอง 7 หมู่บ้าน 946 หลังคาเรือน
มีองค์การบริหารส่วนตำบล จำนวน 1 แห่ง
- หมู่ที่ 1 บ้านรามง จำนวน 145 หลังคาเรือน
- หมู่ที่ 2 บ้านรามง จำนวน 33 หลังคาเรือน
- หมู่ที่ 3 บ้านบาราเฮาะ จำนวน 95 หลังคาเรือน
- หมู่ที่ 4 บ้านบาราเฮาะ จำนวน 63 หลังคาเรือน
- หมู่ที่ 5 บ้านบาราเฮาะ จำนวน 105 หลังคาเรือน
- หมู่ที่ 6 บ้านสุงากาลี จำนวน 155 หลังคาเรือน
- หมู่ที่ 7 บ้านปูยุด จำนวน 350 หลังคาเรือน
ทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม
ทรัพยากรดิน
พื้นที่เขตองค์การบริหารส่วนตำบลปูยุด 11. 2 ตารางกิโลเมตร
หรือประมาณ 7,000 ไร่
มีการใช้ที่ดินประเภทชนบทและเกษตรกรรม มีการปลูกข้าว ยางพารา มะพร้าว และพืชอื่นๆ
นอกจากนั้นมีการใช้พื้นที่เลี้ยงนกเขา เป็นฟาร์ม หรือเลี้ยงบริเวณที่อยู่อาศัย
มีการใช้ที่ดินเป็นที่อยู่อาศัยประกอบการพาณิย์ เป็นที่ตั้งส่วนราชการ
และสถาบันศาสนา
ทรัพยากรน้ำ
ในเขตองค์การบริหารตำบลปูยุด
มีแม่น้ำปัตตานีไหลผ่านในบริเวณทิศตะวันตก
แหล่งน้ำธรรมชาติ
ลำคลอง
1 สาย
บึง, หนอง, และอื่นๆ 2 สาย
แหล่งน้ำที่สร้างขึ้น
บ่อน้ำตื้น
289 แห่ง
บ่อน้ำบาดาล 5
บ่อ
ประปาหมู่บ้าน
6 แห่ง
ทรัพยากรธรณี
ไม่มีทรัพยากรธรณีอื่นๆ นอกจากที่ดิน
สภาพสิ่งแวดล้อม
คุณภาพแหล่งน้ำ/อากาศ ยังอยู่ในสภาพที่ดี
ไม่มีปัญหามลภาวะ
ปริมาณน้ำเสีย
ส่วนใหญ่เป็นน้ำเสียจากบ้านเรือน ซึ่งในเขตบริหารองค์การบริหารส่วนตำบลปูยุดได้สร้างคูระบายน้ำ/รางระบายน้ำ/ฝังท่อระบายน้ำ
ไว้คู่กับถนนสายหลักแล้วเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มีปัญหาน้ำท่วมในเขตชุมชน หากฝนตกหนัก
เนื่องจากสภาพพื้นที่ในเขตชุมชนเป็นที่ราบต่ำ
ลักษณะเป็นทางผ่านรับน้ำจากเขตข้างเคียง เพื่อไหลลงสู่ทะเลอ่าวไทย
ระบบการจัดการด้านสิ่งแวดล้อม
-การสร้างคู/ รางระบายน้ำ
คู่ขนานไปกับถนนเพื่อระบายน้ำเสียออกจากชุมชน
-ก่อสร้างฝาปิดคู/ รางระบายน้ำ
หรือทางเท้า ให้ได้มาตรฐานป้องกันความสกปรก
-ดำเนินการกำจัดขยะมูลฝอย โดยเก็บขนขยะมูลฝอยในเขตชุมชน
และนำไปกำจัดโดยวิธีฝังกลบตามหลักสุขาภิบาลต่อไป
ศักยภาพของชุมชนและพื้นที่
การรวมกลุ่มของประชาชน จำนวนกลุ่มทุกประเภท 15 กลุ่ม แยกประเภทกลุ่ม
กลุ่มอาชีพ 10 กลุ่ม
กลุ่มออมทรัพย์ 3 กลุ่ม
กลุ่มอื่นๆ 2 กลุ่ม
ข้อมูลการใช้ประโยชน์ของพื้นที่ในเขตตำบลปูยุด
หมู่ที่
|
พื้นที่ทั้งหมด
|
ที่อยู่อาศัย(ไร่)
|
พื้นที่เกษตร(ไร่)
|
พื้นที่อื่น(ไร่)
|
|
ตร.กม.
|
ไร่
|
||||
1
2
3
4
5
6
7
|
2.6080
0.3488
4.9660
1.0500
6.0304
0.7200
0.8768
|
1,630
218
3,104
656
394
450
548
|
163.00
196.20
465.60
98.40
315.20
54.00
493.20
|
953.55
14.17
1,714.96
362.44
51.22
257.40
35.62
|
513.45
7.63
923.44
195.16
27.58
138.60
19.18
|
รวม
|
11.2000
|
7,000
|
1,785.60
|
3,389.36
|
1,825.04
|
การเปลี่ยนแปลงพื้นทางทางด้านเศรษฐกิจ
องค์การบริหารส่วนตำบลปูยุด
ได้มีนโยบายที่จะส่งเสริมการพัฒนาด้านเศรษฐกิจให้กับประชาชนในพื้นที่ทั้งระบบเศรษฐกิจชุมชนและระบบเศรษฐกิจตลาด
ส่งเสริมผู้ประกอบการรายย่อย การกระจายรายได้
การผลิตสินค้าท้องถิ่นเครือข่ายชุมชน พัฒนาด้านการเกษตร การตลาดรูปแบบต่างๆ การแปรรูปสินค้าช่องทางอาชีพใหม่ ระบบข้อมูล ระบบสารสนเทศเพื่อเปิดโอกาสการลงทุน พัฒนาทักษะในด้านการบริหารจัดการแก่ผู้ประกอบการและนักธุรกิจในท้องถิ่นและชุมชน การวิจัยและการพัฒนา
การเกษตร
ในตำบลปูยุดเป็นอาชีพหลักที่ประชาชนยึดเป็นอาชีพเพื่อเลี้ยงชีพ ซึ่งประกอบด้วย การปลูกข้าวนาปี มีพื้นที่เพาะปลูกจำนวน 850 ไร่ ประชาชนใช้แหล่งน้ำตามธรรมชาติในการปั่นน้ำเข้าไปใช้ในนาข้าว ซึ่งมีลำน้ำจำนวน 2 สาย บึงหรือหนองน้ำจำนวน 2 แห่ง จึงเห็นว่าน่าจะสร้างระบบน้ำเพื่อการเกษตรให้ดีขึ้น โดยการจัดทำคลองชลประทานเพื่อการเกษตรจากแม่น้ำปัตตานี เป็นระยะทางยาวประมาณ 2.5 กิโลเมตร และมีการส่งเสริมการทำปุ๋ยชีวภาพแทนการใช้ปุ๋ยเคมี
การค้าขาย ในตำบลปูยุดถือเป็นอาชีพรองจากการเกษตร เนื่องจากหมู่ที่ 6 บ้านสุงากาลี
และหมู่ที่ 7 บ้านปูยุด ตำบลปูยุด เป็นชุมชนขนาดใหญ่มีถนนสายปัตตานี-ยะลา
ตัดผ่าน ทำให้เกิดเป็นย่านชุมชน ซึ่งคนในตำบลและประชากรจำนวนมากทำการค้าขาย แต่ยังขาดตลาดกลางจำหน่ายสินค้า องค์การบริหารส่วนตำบลปูยุดจึงเห็นสมควรสร้างตลาดกลางขึ้นมา 1 แห่ง และจัดสรรให้นักธุรกิจที่สนใจเข้ามาการลงทุน
ค้าขาย โดยอยู่ในความดูแลขององค์การบริหารส่วนตำบลปูยุด
ธุรกิจในเขตตำบลปูยุด ในปัจจุบันมีดังต่อไปนี้
โรงสี
จำนวน 1
แห่ง
ปั้มน้ำมัน จำนวน 1
แห่ง
โรงงานอุตสาหกรรม จำนวน
2 โรง
บริษัทและห้างร้าน จำนวน 80
แห่ง
โทรศัพท์สาธารณะ จำนวน
12 แห่ง
ชมรมพัฒนาธุรกิจ
จำนวน
1 ชมรม
การเปลี่ยนแปลงพื้นฐานทางด้านคมนาคม-ขนส่ง
การคมนาคม-ขนส่ง
ตำบลปูยุดมีการคมนาคม-ขนส่ง 2 ด้าน คือ ทางบกและทางแม่น้ำ ทางบกมีถนนลาดยางติดต่อถึงอำเภอและจังหวัด เป็นถนนสายหลักระหว่างจังหวัดปัตตานี-ยะลา มีรถขนส่งสายปัตตานี-ยะลา ผ่านตลอดทั้งวัน
รถโดยสารขนาดเล็ก ปัตตานี-ยะลา ผ่านทุกวัน และรถโดยสารประจำทางปรับอากาศ
สายยะลา-กรุงเทพฯ ผ่าน
การไฟฟ้า
การบริการด้านไฟฟ้าในตำบลปูยุด อยู่ในความรับผิดชอบของการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค สาขาอำเภอเมืองปัตตานี โดยให้บริการกระแสไฟฟ้าแก่ประชาชนในตำบลปูยุด ประชากรมีไฟฟ้าใช้ 100% ทั้ง 7 หมู่บ้าน จำนวน 1,374 ครัวเรือน
การโทรศัพท์
การบริการด้านโทรศัพท์ในตำบลปูยุด อยู่ในความรับผิดชอบขององค์การโทรศัพท์จังหวัดปัตตานี โดยให้บริการติดตั้งโทรศัพท์แก่ประชาชนในตำบลปูยุด ประชากรมีโทรศัพท์ใช้ ทั้ง
7 หมู่บ้านจำนวน 120 ครัวเรือน และสามารถใช้บริการอินเตอร์เน็ตระบบความเร็วสูง
จำนวน 30 หลังคาเรือน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น